บันทึกการเรียนครั้งที่: 7
วิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
(Mathematic Experiences Management for Early Childhood)
อาจารย์ผู้สอน:
ด. ร. จินตนา สุขสำราญ (อาจารย์ประจำหลักสูตร)
ประจำวันที่:
พุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 08.30 – 12.30
กลุ่มเรียน
101
เนื่องจากวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ตรงกับสัปดาห์นิทรรศการที่จัดแสดงโดย นักศึกษาชั้นปีที่ 5 สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม อาจารย์จึงให้นักศึกษาทุกคนเข้าร่วมชมนิทรรศการณ์ และเข้าเรียนตามปกติ
ความรู้ที่ได้รับ
1. การเรียนแบบ Project Approach
กิจกรรมในห้องเรียนมีการเรียนรู้หลากหลายอย่างเกิดขึ้นไปพร้อมๆ
กัน เด็กสามารถเลือกตามความสนใจของเด็กเป็นส่วนใหญ่ แต่ครูจะชักชวนให้เด็กได้ฝึกทักษะจากสื่อหลากหลายและเรียนรู้สิ่งต่างๆ
ตามความพร้อมของเด็กแต่ละคน ทั้งเป็น กลุ่มใหญ่ กลุ่มเล็ก และรายบุคคล สลับกันไป
โดยคำนึงถึงความแตกต่างของเด็กแต่ละคนในทุกด้าน
Project Approach
เป็นวิธีการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพให้แก่เด็กเพื่อเตรียมพร้อมสู่ศตวรรษที่
21 และ ศตวรรษต่อๆไป Project Approach ช่วยเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆรอบตัวเด็กอย่างลุ่มลึกด้วยตนเอง
สอนให้เด็กรู้วิธีการเรียนรู้ (Learning to Learn) ทำให้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองต่อไปได้ตลอดชีวิต
และยังสอนวิธีการคิดรูปแบบต่างๆ (Learning to Think) ให้แก่เด็กอีกด้วย
ทำให้เด็กสามารถพิจารณาข้อมูลอย่างมีเหตุมีผล นำข้อมูลมาเปรียบเทียบวิเคราะห์
สังเคราะห์ พิจารณาถึงความถูกต้องและประโยชน์ได้ตามวัย การเรียนรู้แบบ Project
Approach บูรณาการวิชาต่างๆให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างมีความหมายและเป็นที่สนใจของเด็ก
ไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์ ภาษา วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษา
หรือประวัติศาสตร์ การเรียนรู้แบบ Project Approach เป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายในวงการการศึกษาในหลายประเทศทั่วโลกว่าเป็นวิธีการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการทำงานของสมอง
(Brain Based Learning) อย่างมาก
Project Approach เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เด็กสนใจในโลกแห่งความเป็นจริงและพบเห็นในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเด็กๆสามารถศึกษาได้โดยง่าย ทั้งที่โรงเรียน ที่บ้าน และในชุมชน
การเรียนรู้แบบ Project Approach นี้
ช่วยให้เด็กมีทักษะการเรียนรู้อย่างลุ่มลึกในสิ่งที่เด็กต้องการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
อันเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของการเรียนรู้ตลอดชีวิตของเด็ก นอกจากนั้น Project
Approach ยังตั้งอยู่บนรากฐานของทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple
Intelligence) และช่วยพัฒนาจิต 5 ประการ (Five
Minds of the Future) ด้วย การดำเนินการเรียนรู้แบบ Project
Approach มีการดำเนินการคล้ายคลึงกับการเรียนรู้แบบ Constructionism
ด้วยแต่สามารถนำมาใช้กับเด็กปฐมวัยหรือเด็กอนุบาล
ได้อย่างมีประสิทธิภ
วิธีการเรียนรู้แบบ Project
Approach
เด็กวัยอนุบาลชอบที่จะสำรวจสืบค้น !
เด็กๆสนุกสนานกับการได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว Project
Approach ทำให้เด็กได้เป็นผู้ลงมือทำการศึกษาสิ่งต่างๆใกล้ตัวเด็กที่เด็กๆสนใจ
และมีคุณค่าที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งนั้น Projects เปรียบเสมือนเรื่องราวที่สนุกตื่นเต้น
Project Approach คือ
การเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลก
เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากการจัดการเรียนรู้แบบ Regio Emilia ในประเทศอิตาลี ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบนี้
เด็กจะเรียนรู้ลุ่มลึกในเรื่องที่เด็กสนใจ อยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งนั้น เป็นการเรียนรู้ที่เด็กจะเป็นนักวิจัยตัวน้อย
วิธีการเรียนรู้แบบ Project Approach จะช่วยให้ครูบูรณาการกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศึกษา
หรือสุขศึกษา เข้าไปให้เด็กได้สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นวิธีการที่เด็กจะเรียนรู้ว่าจะสามารถหาคำตอบหรือข้อมูลของสิ่งต่างๆ
รอบตัวได้อย่างไร และแหล่งข้อมูลหรือแหล่งเรียนรู้มีที่ใดบ้าง
เด็กจะได้รับประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ของตนให้ผู้อื่นรับทราบด้วยวิธีที่หลากหลาย
การเรียนรู้แบบ Project Approach มี 3 ระยะ
ดังนี้
Project Approach ระยะที่1 – เริ่มต้น
เด็กๆเลือกว่าจะศึกษาเรื่องอะไร
โดยครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ
เด็กๆอภิปรายว่า มีความรู้เดิมอะไร
เกี่ยวกับเรื่องที่เลือกแล้วบ้าง ครูช่วยให้เด็กๆบันทึกความคิดของเด็กๆ
ด้วยวิธีต่างๆ เช่น วาด ปั้น จำลอง ฯลฯ
เด็กๆบอกข้อสงสัยที่เด็กๆมีเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กๆจะเรียนรู้
และครูช่วยให้เด็กๆสรุปตั้งคำถามที่เด็กๆต้องการ
หาคำตอบในระหว่างการสำรวจสืบค้นครั้งนี้ และบันทึกคำถามเหล่านั้น
เด็กๆพูดคุยเกี่ยวกับว่าคำตอบที่เด็กๆจะสำรวจสืบค้นได้นั้น
น่าจะเป็นอะไร อย่างไร ครูช่วยเด็กๆบันทึกความคาดคะเนของเด็กๆไว้
เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลในภายหลัง
Project Approach ระยะที่2 – การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนรู้
ครูช่วยเด็กๆวางแผนไปสถานที่ต่างๆ
ที่เด็กๆสามารถสำรวจ สืบค้นได้
รวมถึงการจัดหาวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เด็กๆสนใจเรียนรู้ ที่จะสามารถตอบคำถามของเด็กๆได้
มาให้ความรู้กับเด็กๆ
เด็กๆใช้หนังสือและคอมพิวเตอร์ในการสืบค้นข้อมูล
โดยมีครูเป็นผู้ช่วยเหลือ
ในระหว่างกิจกรรมในวงกลมที่เด็กๆสามารถประชุมร่วมกัน
และนำเสนอรายงานสิ่งที่เด็กๆค้นพบในการทำกิจกรรมต่างๆเป็นระยะ
ครูส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กๆถามคำถามและให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กๆแต่ละคนได้ค้นพบคำตอบหรือเรียนรู้ด้วย
เด็กๆวาดภาพ ถ่ายภาพ เขียนคำและป้ายต่างๆ
สร้างกราฟและหรือแผนภูมิสิ่งที่เด็กๆวัดและนับ
แล้วเด็กๆก็สร้างจำลองสิ่งที่เด็กๆสนใจเรียนรู้กัน
เมื่อเด็กๆเรียนรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เด็กๆสามารถพิจารณาทบทวนและเพิ่มเติมหรือทำจำลองใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิมไปได้เรื่อยๆด้วย
Project Approach ระยะที่3 – การสรุป Project
เด็กๆอภิปรายกันถึงหลักฐานต่างๆที่เด็กๆได้สืบและค้นพบที่ช่วยให้เด็กๆตอบคำถามที่เด็กๆตั้งไว้ได้
และเด็กๆจะได้เปรียบเทียบสิ่งที่เด็กๆเรียนรู้กับความรู้เดิมของเด็กๆว่าตรงกันหรือไม่
รวมถึงเปรียบเทียบกับการคาดคะเนของเด็กๆที่ทำไว้ตั้งแต่ระยะแรกด้วย
เด็กๆช่วยกันวางแผนจัดแสดงให้ผู้ปกครองและเพื่อนๆ
และบุคคลอื่นๆได้เห็น วิธีการเรียนรู้ กิจกรรม ผลงาน และสิ่งที่เด็กๆค้นพบเรียนรู้
เด็กๆลงมือจัดแสดงเพื่อแบ่งปันความรู้และเรื่องราวเกี่ยวกับ
“
Project Approach ” ของเด็กๆ
ครูจะได้ช่วยสนับสนุนส่งเสริมนักสืบรุ่นจิ๋วเหล่านี้วางแผน
และดำเนินการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กๆทำ และค้นพบกันอย่างสนุกสนาน
กระตือรือร้นและภาคภูมิใจ
หลักการ STEM
คือ S = วิทยาศาสตร์
( กระบวนการทำ ดังนี้ สำรวจปัญหา ตั้งสมมติฐาน ทดลอง พิสูจน์ )
T = เทคโนโลยี ( การใช้เทคโนโลยีต่างๆเข้ามีส่วนในการปฏิบัติกิจกรรม )
E = การออกแบบ ( การวางแผน การออกแบบขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรม )
M = คณิตศาสตร์ ( การบูรณาการทักษะทางคณิตศาสตร์กับการปฏิบัติกิจกรรม
เช่น การตวงส่วนผสม
- การเรียนแบบ โปรเจค นั้นต้องใช้เวลาในการเรียนเป็นแบบระยะยาว
เนื่องจากเด็กจะได้ศึกษาเรื่องราวที่ต้องการศึกษาจนถ่องแท้ ต้องศึกษาหาคำตอบ
ตลอดจนลงมือปฏิบัติเพื่อให้ได้คำตอบ โดยมีครูเป็นผู้แนะนำ และ
คอยอำนวยความสะดวกให้
2. สื่อนวัตกรรมการศึกษา
- สื่อมอนเตสเซอรี่
มีดังนี้ คือ 1) ภาษา
: เริ่มจากการให้เด็กใช้การสัมผัส
2)
ชีวิตประจำวัน : ฝึกทักษะต่างๆที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น
การเรียงลำดับ
3)
คณิตศาสตร์ :
เน้นทักษะการแก้ปัญหาและต้องแก้จนสำเร็จจึงจะเปลี่ยนสื่อได้
- สื่อการสอน :
มีหลากหลายรูปแบบแล้วแต่หน่วยการเรียนรู้ที่จัดให้กับเด็ก
ครูต้องดูความเหมาะสมในด้านต่างๆทั้ง วัย พัฒนาการ และ ความปลอดภัย
- สื่อที่มีคุณภาพ คือ
ต้อวผ่านการเล่นของเด็ก
3. แผนการจัดการเรียนรู้
- แผนการสอนของแต่ละโรงเรียนมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสังกัดของโรงเรียนนั้นๆ
เช่น โรงเรียนเอกชน โรงเรียนสังกัดรัฐบาล โรงเรียนสังกัด สพฐ.
- ในการจัดการเรียนรู้ 1 วัน ประกอบด้วย 6 กิจกรรมหลัก
แต่ละกิจกรรมสามารถยืดหยุ่นเวลาได้
และต้องมีการบูรณาการทักษะต่างๆสอดแทรกลงไปมนทั้ง 6 กิจกรรม
ประเมินตนเอง
ตั้งใจเรียน มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระมากยิ่งขึ้น
มีเนื้อหาบางเนื้อหาที่ไม่ค่อยเข้าใจ
ประเมินเพื่อน
ตั้งใจเรียน ให้ความมือในการเรียน ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
ประเมินอาจารย์
สอนได้เข้าใจง่าย จังหวะการพูดไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป แต่เนื้อหาก็สอนเร็วเกินไป
มีน้ำเสียงที่พอดี ร้องเพลงได้ไพเราะ ไม่ผิดไม่เพี้ยน
ใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้นักศึกษามีความกระตือรือล้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น